วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ไร้สติ V.1

มื่อเริ่มหาข้อมูลเรื่องสาร CFC ไปสักพักก็คิดไปถึงเรื่องเครื่องปรับอากาศ แล้วก็ต๊องๆอยู่กับเครื่องปรับอากาศเกี่ยวกับ " ลดการใช้ให้น้อยลง " จึงคิดไปถึงถ้าปิดแอร์แล้วไปอยู่ห้างก็ประหยัดไปอีกทาง
แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าแล้วใครมันจะบ้าไปอยู๋ห้างทั้งวันวะ เลยข้ามประเด็นนี้ไป

ระเด็นต่อมาคือเรื่องโฟม เพราะสั่งข้าวเที่ยงขึ้นมากินแล้วเค้าใส่กล่องโฟมมาให้ โฟมก็จัดเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มสาร CFC เลยคิดว่ากล่องที่ใส่ข้าวพวกนี้น่าจะนำมาทำอะไรได้อีก เลยลองเอาไปล้างแล้วก้อเอามาคิดดูใหม่อีกที เลยเห็นว่ามันเป็นแบบฝาปิด ก้อลองตัดส่วนข้างบนออก ทำเป็นที่ใส่กระดาษทิชชูดู
ก็พบปัญหาว่ามันก็ใช้ได้ แต่ใช้ลำบากเนื่องจากกล่องโฟมมันน้ำหนักเบาต้องมีอะไรมาถ่วงไว้ จึงหาของมาถ่วง มาถึงขั้นตอนต่อมาเลยพิจารณาเรื่องความสวยงาม มาถึงขั้นนี้แล้วเหนื่อยใจ คิดไปถึงว่าใครมันจะใช้วะ สู้ไปซื้อไอ้ที่เค้าทำสวยๆ ทนทานเลยไม่ดีกว่ารึไง
(แต่ยังไม่ล้มเลิกนะ เอากระดาษมาลองแปะให้สวยงามดู
แต่สุดท้ายก็ยังอุบาดจิตอยู่ดี) ประเด็นนี้จึงตกไป

าถึงเวลานี้ชิบหายแล้ว 5โมงกว่าแล้ว... (ในมือถือขวดน้ำอยู่เตรียมกระดก) จึงเข้ากูเกิ้ลหาเรื่องพลังงานทดแทน, สินค้าที่เป้นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, รีไซเคิ่ล ไอ้พวกนี้มันยิ่งทำให้ปวดหัวหนักกว่าเดิมอีก
เลยลองคิดจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดก่อน คีย์บอร์ด --> เม้าส์ --> ขวดน้ำ เลยคิดว่าขวดน้ำมันเป็นพลาสติก
จะผลิดขวดน้ำสักขวดก็ต้องผ่านโรงงานๆ ก็ต้องใช้พลังงานถ้าเอามาใช้ไม่คุ้มค่าก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ
เลยลองหาข้อมูลดู ได้ข้อสรุปออกมาว่า

ขวดน้ำควรที่จะ
- เอาไปชั่งโลขาย (ฮิตอันดับต้นๆ)
- เอาไปล้างแล้วใส่น้ำกินต่อ (แม่งใช้กันทุกบ้าน)
- เอาไปทำสิ่งประดิษฐ์ (เยอะแยะขึ้นอยู่กับคนจะเอาไปทำอะไร)
ที่ห้องก็มีขวดน้ำเยอะอยู่เลยลองทำซักอย่างเลยดีกว่า จึงคิดไปถึงว่า
- มันต้องเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์สูงสุดได้ในเวลานั้น
- ด้วยความที่มันเป็นขยะ จะเอาไปทำให้สวยงามยังไงก็เทียบเท่ากับสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาเฉพาะทางไม่ได้
จึงเน้นเรื่องการใช้งานเอาไว้ก่อน
มาถึงขั้นนี้ ไอเดียหลายๆอย่างผุดขึ้นมาเยอะมาก เช่น
กระถางต้นไม้ (ทำกันทั้งโลก จะดีหรือไม่ดี สวยไม่สวยขึ้นอยู่กับการออกแบบ)
ที่กรองน้ำ (ใช้เครื่องกรองดีกว่ามั๊ย ถ้าอยู่ป่าก็ว่าไปอย่าง)
ที่ใส่ดินสอ (เชยระเบิดโยนไว้ในลิ้นชักหยิบใช้สบายกว่าเยอะ ไม่ต้องมานั่งตกแต่งขวดอีก)
เอามาทำลิ้นชักแปะไว้กับผนัง (ทำยากแถม ไม่งาม +กับไม่สามารถรับน้ำหนักได้มาก)
สุดท้าย ภูมิใจเสนอไอเดียบรรเจิดสุดๆ สมกับเป็นพระเอกในวงเหล้า คือ ที่ตักน้ำแข็ง!!
ถ้าใครที่เคยก๊งกะเพื่อนคงรุ้ว่าไอ้ร้านเหล้าพวกนี้รวยเพราะน้ำแข็ง ถังเล้กๆถังละ 40-50 แถมละลายโคดเร็ว
เมื่อละลายก็จะเป้นปันหาเวลาจะเติมน้ำแข็ง ต้องใช้ที่หนีบหนีบเศษน้ำแข็งขึ้นมา กว่าจะหนีบครบแก้ว บ้าพอดี เลยลองทำที่ตักน้ำแข็งแบบกรองน้ำออกได้จากขวดดู เริ่มกันเลย



เริ่มจากขวดเปล่า ไปกินเหล้าคงต้องมีกันทุกโต๊ะหละนะ




ขีดเส้นเล็งเอาไว้ว่าจะลงดาบช่วงไหน




เมื่อตัดตามรอยก็จะได้ออกมาตามรูปแล้วเอาไปจ้วงน้ำแข็งได้เลย
ถ้างงว่ามันกรองน้ำออกได้ไง? เปิดฝาโลดที่นี้น้ำก็จะใหลออกมาเองเหลือแต่น้ำแข็ง
หมดปัญหาเอาที่หนีบมานั่ง หนีบทีละจึกๆ กว่าจะได้กินเมาหลับไปแล้ว 555+
ทำไมมันถึงภูมิใจเสนอ ไอ้ที่ตักน้ำแข็งบ้าๆบอๆนี่ด้วย?
เพราะว่ามันตรงตามที่คิดไว้ทั้งหมดคือ
- นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง
- เป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าของที่เค้ามีมาให้ (จากการที่ตระเวณกินเหล้ามา ไม่มีร้านไหนเอากระชอน
มาให้ตักน้ำแข็ง)
- เป็นสิ่งใกล้ตัว
- ใช้เสร็จแล้วก็เอาไปรีไซเคิ่ลได้ต่อ ไม่ทำให้เสียหายจนถึงขนาดเอามาใช้ใหม่, ทำใหม่แล้วบิดเบือนจนไม่
สามารถ ใช้ซ้ำหรือรีไซเคิ่ลได้



วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ชื่ออะไรดี? - -

........จากการที่ได้ไตร่ตรองและ ครวญคราง(ขี้เกียด) จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันสุดท้ายก็คิดออกซะทีว่าจะทำอะไร ซึ่งมันจะหลุดเหมือนตอนคอมสี่อีกรึเปล่าก็ต้องมาดูกัน - -
........เรื่องของเรื่องคือใช้เวลานั่งมองเพดานห้องแล้วคิดอยู่นานกับสิ่งที่ต้องทำแล้วก็คิดไม่ออกจึงลองคิดย้อนกลับไปว่าวันที่ดูสารคดี 3เรื่องนั้นมันควรจะสรุปออกมาสั้นๆยังไง คิดไปคิดมาจึงสรุปออกมาได้ว่า " สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่มันเอามาใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์สูงสุด เอามาใช้ผิดๆ หรือมันน่าจะทำอะไรได้มากกว่าที่เห็น "
ก็เลยคิดว่าถ้ามันใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์อย่างที่ควรจะได้ (รึเปล่า) งั้นก็ควรลดการใช้ลงเลยลองหาอะไรที่มันเกี่ยวกับการลดดู จึงไปสะดุดที่เรื่อง
" การลดน้ำหนัก " งงกันใช่ไหมครับว่ามันเกี่ยวอะไรวะ? 555+ มันเกี่ยวตรงที่ว่า สมัยนี้คนลดน้ำหนักมีมาก ลดนน.มันก็มีข้อดีตรงที่ลดค่าใช้จ่ายในการกินลง การลดนน.มีหลายวิธี ทั้งไปหาหมอ ลดเอง ซึ่งปัญหามันอยู่ที่ว่า เมื่อลดนน.เองก็อาจจะลดผิดวิธี (ส่วนมากชอบใช้วิธีอดอาหารแบบผิดๆ)กลายเป็นทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร หรือ ขาดวิตามินบางชนิดส่งผลให้ต้องเสียเงินไปหาหมอ หรือซื้อวิตามินมากินเสริมกลายเป็น ลดนน. แทนที่กระเป่าเงินจะอ้วนขึ้นกลับกลายเป็นว่า ผอมลงไปด้วย ซึ่งเราจะพูดถึงการลดนน.อย่างไรไม่ให้ผิดวิธีนั่นเอง (หลุดรึยังน๊า? ถ้าลดนน.ถูกก็ไม่น่าจะเปลืองเงินทองมากกว่าลดผิดวิธีแล้วต้องไปหาหมอ ก็คือมีเงินแล้วอย่าเอามาใช้ผิดๆ)
ซึ่งในตัวงานที่นำเสนอจะพูดถึง
- เซ็ทอาหารที่ดีในมื้อ เช้า กลางวัน เย็น
- อาหารอะไรให้พลังงานอะไรเท่าไหร่เหมาะที่จะบริโภครึเปล่า
- ปริมาณความต้องการสารอาหารของคน (อาจจะกำหนดช่วงอายุ)
- กิจกรรม การออกกำลังกายวิธีไหนเผาผลาญไขมันส่วนเกิน
- ท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม <-- ยังไม่แน่ใจ
จากที่กล่าวมาพอจะสรุปได้ดังนี้
1. เป็นโรคอ้วน
2. ลดความอ้วน
3. ลดผิดวิธี
4. เสียเงินเพิ่ม(ใช้เงินอย่างผิดๆ)
สุดท้ายนี้ จะมีใครคิดแบบเดียวกันรึเปล่าหว่า - . . -
จิงๆแอบไปอ่านของไอ้ฟรานเชสโก้มา แต่ไม่ได้ลอกนะ วะฮะฮะ (ไอ้บ้าไทโป จะรอวันที่มันฝันออกมาเป็นไทโป)
ทำไมจัดรูปแบบการพิมพ์ไม่ได้ฟระงงเลยบรรทัดติดๆกันเลย ขออภัยมาณโอกาศนี้ และอาจจะโอกาศต่อๆไปด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

จากที่จัดบูธครั้งก่อน ได้เสนอถึงตารางที่เป็น Icon ต่างๆซึ่งแสดงถึงว่ามนุษย์มีผลกระทบต่อSpace ที่ชื่อว่าโลกอย่างไร มาคราวนี้ก็ได้เปลี่ยนวิธีนำเสนอใหม่เป็นไฟล์วีดีโอเนื้อหาหลักๆยังคงเป็นเช่นเดิม

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

Micro & Macro

micro
- เล็ก จุล
macro
- คำสั่งที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง (ทำให้ต้องทำอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา)
- การถ่ายภาพแบบซูมใกล้มากๆ (กล้อง)
- สิ่งที่ใหญ่
หลังจากเริ่มวิเคราะห์ 2 คำนี้ด้วยกันแล้วจึงลองเอาความหมายมารวมกันซึ่งได้ออกมาว่า


สิ่งที่ถูกมอง, ถูกเห็น, ถูกกระทำ แล้วต้องทำอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา


พอได้คำนี้จึงคิดต่อว่าอะไรที่มันเป็นอย่างที่กล่าวไว้คือ
- อะไรที่มีความหมายแฝง
- เห็นแล้วต้องทำสิ่งหนึ่งขึ้นมา
*ภาพ 3 มิติ
เพราะว่าภาพ3 มิติต้องหรี่ตามองจึงจะเห้นภาพที่ซ่อนอยู่ หรือต้องชูนิ้วขึ้นมาแล้วจ้องมองผ่านนิ้ว








- โค้ดที่ต้องใส่เวลาเข้าบางเวป




ส่วนอย่างอื่นกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองอยู่...



วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

เกี่ยวกะหนังสือ Wabi-Sabi.

Wabi Sabi

เขียนถึงเรื่องที่ยากที่สุดของวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก เป็นศิลปะหยั่งลึกสู่เซ็นเป็นการนำเสนอ
ความคิด ความเข้าใจชีวิตผ่านศิลปะ คือความงามของสรรพสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่คงทนถาวร และไม่เสร็จสมบูรณ์
คือความงามของวัตถุสิ่งของที่สงบเสงี่ยมอ่อนน้อม คือความงามของวัตถุที่ไม่ยึดติดในคติแบบไหน


Chapter 1 - What is Wabi-Sabi?
Chapter 2 - Give space a change
Chapter 3 - U've got the look (ไม่แน่ใจชื่อ)
Chapter 4 - Hands on
Chapter 5 - the sound of silence
Chapter 6 - Practice makes imperfect
Chapter 7 - Wabi-Sabi balance

สำหรับ Chapter 1
Six easy step to awakening your wabi-sabi mind

Give yourself Five minute or quiet
- time each day. If your like it.

Visit Market
- or junk shop. Don't buy anything. just walk around and
note what really appeals to you. Okay, if you see something you must
have, go ahead and take it home.

Take a Daily or weekly walk outdoors.
- Keep mental or writen log of seasonal changes (solor, light, and nature's mood)
that you observe.

Place one flower, Branch, or Stem
- you've found outside your foor in a place where you'll see it every day:
your desk, your beside table, next to the refrigerator. when it catches your
eye, stop for a second or two and admire its singular beauty.

Create a treasure alcove.
- Place something you value (anything you want, from an heirloomtoa stone) in
a special place. Replace it every season, then every month, and everyday.

บางข้อความ, ศัพท์บางคำอาจจดมาผิด



Wabi-Sabi



จาการที่งงๆว่า จะทำอะไรดี ก็เลยเข้ากูเกิ้ลไปหาข้อมูลเยวกับคำว่า Imperfection แล้วก็ไปเจอลิ้งค์เกี่ยวกับหนังสือเล่มนึง
ชื่อว่า Wabi-Sabi ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับศิลปะที่ไม่สมบูรณ์แต่สวยงาม

มันเป็นการซวยอย่างนึงก็ได้ซึ่งในลิ้งค์บอกว่าที่ TCDCมีหนังสือเล่มนี้เราก็ไป TCDC เค้าก็บอกว่า คุณชาญวุฒิเคยมาเข้าไปแล้วนี่ค่ะ
เราก็งงๆ(นึกในใจว่าไหนใครบอกให้เข้าฟรีวะ)แต่เค้าก็ให้เข้าละทำหน้าตูดบอกว่าครั้งต่อไปไม่ได้แล้วนะค่ะ เลยรอดตัวไป(วันนั้นจนหะ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องสมัครสมาชิก)พอเข้าไปหาก็เจอแต่เล่มที่เป็นภาษาอังกฤษ - -
หนังสือเล่มนี้ฉบับที่แปลเป็นไทยที่ TCDC ไม่มี - -
แต่อย่างน้อยก็ได้อ่านกับแอบจดมาบ้าง
พอออกมาจาก TCDC ก็ตรงเข้าไปร้านขายหนังสือถามหา Wabi-Sabi (ไทย) เพราะยืมจาก TCDC ไม่ได้
เค้าก็บอกไม่มี ไปร้านอื่น หรือที่ไหนๆก็ไม่มี - -
เลยกลับมาบ้านแล้วหาในกูเกิ้ลอีกทีก็เห็นเค้าเขียนไว้ว่า ของหมดต้องรอพิมพ์ครั้งต่อไป - -*

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550

สับสนมากๆ - -


หลังจากที่ได้เสนอเรื่อง การตัดทอน (Reduce)ไปในอาทิตย์ที่แล้วก็งงกะมันมากว่างานมันจะเป็นยังไงต่อไป
จะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งก็คิดไม่ออก จึงคิดย้อนกลับมาใหม่ถึงต้นเรื่องคือ " คุณค่าและความจำเป็น "
แล้วนำหัวเรื่องนี้มาคิดเปรียบเทียบกับเรื่องสวิตซ์ไฟในอาทิตย์ที่แล้วใหม่ จึงคิดว่าน่าจะเปลี่ยนหัวเรื่องเป็น
" สิ่งที่ถูกมองข้าม " เสียมากกว่า
จากอาทิตย์ที่แล้ว ที่เสนอไป อาจารย์ได้พูดกลับมาว่า จะทำงานนี้เป้นอะไร ซึ่งตอบกลับไปว่า Print AD
ซึ่งก็งงๆกับท่าทีของอาจารย์มากว่า ทึ่งว่าจะทำ Print AD หรือ ประชดว่า จะทำแค่ Print AD เองเหรอ - -
แล้วจึงคิดว่างั้นถ้าเราทำพวกใบปลิว หรือ ป้ายโฆษณา ขึ้นมารณรงค์ให้คนรู้ สิ่งที่ถูกมองข้าม หรือผลเสียที่ไปมองข้ามสิ่งเหล่านี้
ซึ่งคล้ายๆกับการรณรงค์ให้งดสูบบุหรี่ ที่ชี้ให้เห็นถึงผลเสียของการสูบบุหรี่ อะไรประมาณนั้นจึงได้ทดลองทำโปสเตอร์เล่นๆหนึ่งชิ้น